อาหารและการย่อยอาหาร



อาหารและการย่อยอาหาร



อาหาร (Food)

             คือ สิ่งที่นำเข้าสู่ร่างกายแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เพราะอาหารเป็นแหล่งพลังงานของทั้งเซลล์และร่างกายของสิ่งมีชีวิต ความต้องการอาหารและการได้มาซึ่งอาหารของโพรทิสต์ พืชและสัตว์จะแตกต่างกันออกไป พืชและ โพรทิสต์บางชนิดสามารถสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหารเองได้ แต่สัตว์และโพรทิสต์บางกลุ่มไม่ สามารถสร้างอาหารเองได้ ดังนั้นสัตว์และโพรทิสต์กลุ่มนี้จึงจำเป็นจะต้องได้รับสารอาหารจาก สิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการได้มา






การย่อยอาหารของเห็ด รา ยีสต์ และ แบคทีเรีย


1.1 การย่อยอาหารของเห็ด รา และยีสต์ (Fungus, Fungi) 
คือสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ใน อาณาจักรเห็ดราหรือฟังไจ (Kingdom Fungi) เป็นเซลล์ยูแคริโอต (Eukaryote) พบได้ทั้งที่เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เส้นใย และ ดอกเห็ด ไม่มีคลอโรฟิลล์ ได้รับสารอาหารจากการย่อยสลายสารอินทรีย์โดยปล่อยเอนไซม์ออกมา ย่อยสลายสารอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่และซับซ้อนจนเป็นโมเลกุลเล็กและดูดซึมเข้าเซลล์ (Saprophyte)ได้แก่ สิ่งมีชีวิตประเภทเห็ด รา และยีสต์ การย่อยอาหารของเห็ด รา ยีสต์ เนื่องจากรามีผนังเซลล์ จึงไม่สามารถน าสารโมเลกุล ใหญ่เข้าสู่เซลล์ได้ การย่อยอาหารจึง เป็นการย่อยภายนอกเซลล์ (Extracellular digestion) โดยส่ง น้ำย่อยหรือเอนไซม์ออกมาย่อยสารโมเลกุลใหญ่ให้เป็นสารโมเลกุลเล็กก่อนแล้วจึงดูดซึมเข้าสู่เซลล์ การย่อยสารโมเลกุลใหญ่โดยราและแบคทีเรีย จะขึ้นอยู่กับเอนไซม์อย่างเฉพาะเจาะจง เช่น ยีสต์ เจริญได้ดีในอาหารพวกน้ำตาลเพราะยีสต์มีเอนไซม์อินเวอร์เทส ในการย่อยสลายน้ำตาลซูโครส ได้น้ำตาลฟรักโทสและน้ำตาลกลูโคส หรือ น้ำตาลอินเวอร์ทที่นำมาเป็นส่วนผสมในขนมเค้ก ลูกกวาดและเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ เป็นต้น แบคทีเรียมีผนังเซลล์ จึงไม่สามารถนำสารโมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์ได้ การย่อยอาหารจึง เป็นการย่อยภายนอกเซลล์ (Extracellular digestion) เช่นเดียวกับยีสต์ คือ มีการย่อยอาหารโดย ส่งน้ำย่อยออกมาย่อยสารโมเลกุลใหญ่ให้เป็นสารโมเลกุลเล็กก่อนแล้วจึงดูดซึมสารโมเลกุลเล็กเข้าสู่ เซลล์ แบคทีเรียบางชนิดสามารถย่อยสารอินทรีย์ที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนได้ แต่บางชนิดอาจจะ ย่อยได้เฉพาะสารอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก  ปัจจุบันมีการน าจุลินทรีย์มาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ยีสต์ (Yeast) Saccharomyces cerevisiae เป็นจุลินทรีย์ที่ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ เหล้าและไวน์ เชื้อรา Aspergillus oryzae ใช้ผลิตอาหารและอาหารเสริม เช่น ซีอิ้ว เต้าเจี้ยว น้ำปลา น้ำส้มสายชู ปลาร้า แบคทีเรีย (Bacteria) ในจีนัสแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus sp.) ใช้ในการผลิตนมเปรี้ยว (Cultured milk) เป็นต้น


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การย่อยอาหารของเห็ด รา ยีสต์




1.2 การย่อยอาหารของแบคทีเรีย

แบคทีเรียมีผนังเซลล์ จึงไม่สามารถนำสารโมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์ได้ การย่อยอาหารจึง เป็นการย่อยภายนอกเซลล์ (Extracellular digestion) เช่นเดียวกับยีสต์ คือ มีการย่อยอาหารโดย ส่งน้ำย่อยออกมาย่อยสารโมเลกุลใหญ่ให้เป็นสารโมเลกุลเล็กก่อนแล้วจึงดูดซึมสารโมเลกุลเล็กเข้าสู่ เซลล์ แบคทีเรียบางชนิดสามารถย่อยสารอินทรีย์ที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนได้ แต่บางชนิดอาจจะ ย่อยได้เฉพาะสารอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ปัจจุบันมีการน าจุลินทรีย์มาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ยีสต์ (Yeast) Saccharomyces cerevisiae เป็นจุลินทรีย์ที่ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ เหล้าและไวน์ เชื้อรา Aspergillus oryzae ใช้ผลิตอาหารและอาหารเสริม เช่น ซีอิ้ว เต้าเจี้ยว น้ าปลา น้ าส้มสายชู ปลาร้า แบคทีเรีย (Bacteria) ในจีนัสแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus sp.) ใช้ในการผลิตนมเปรี้ยว (Cultured milk) เป็นต้น 








 การย่อยอาหารของโพรโทซัว

 โพรโทซัว จัดเป็นโพรทิสต์ที่มีลักษณะคล้ายสัตว์ เพราะสร้างอาหารเองไม่ได้ ไม่มมีผนังเซลล์ แต่สามารถเคลื่อนที่ได้ โพรโทซัวไม่มีระบบทางเดินอาหาร และระบบย่อยอาหารโดยเฉพาะ แต่ อาศัยส่วนต่างๆของเซลล์ช่วยในการน าอาหารเข้าสู่เซลล์ แล้วจึงมีการย่อยอาหารภายในเซลล์ (Intracellular digestion)



การย่อยอาหารของอะมีบ้า



อะมีบาเป็นโพรโทซัวที่เคลื่อนที่ด้วยเท้าเทียม (Pseudopodium) อาหารของอะมีบา ประกอบ ด้วยเศษสารอินทรีย์ เซลล์แบคทีเรีย สาหร่ายและ สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อะมีบาจะมีวิธีการนำ อาหารเข้าสู่เซลล์ โดยกระบวนการฟาโกไซโทซิส (Phagocytosis) โดยการยื่นส่วน ไซโทพลาซึมที่ เรียกว่า ซูโดโพเดียม (Pseudopodium) ออกไปโอบล้อมอาหารทำให้อาหารเข้าไปอยู่ภายในเซลล์มี ลักษณะเป็นถุง เรียกว่า ฟูดแวคิวโอล (Food Vacuole) แล้วไปรวมกับไลโซโซม (Lysosome) ซึ่งมี เอนไซม์อยู่จึงเกิดการย่อยแบบภายในเซลล์ขึ้น การเคลื่อนไหวของไซโทพลาสซึม ทำให้สารอาหาร ต่าง ๆ ถูกลำเลียงไปทั่ว ๆ เซลล์ ส่วนกากอาหารที่เหลือขนาดเล็กจะถูกขับออกทางเยื่อหุ้มเซลล์โดย การแพร่ 


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ http://www.microscopy-uk.org.uk/mag/imagsmall/



2. การย่อยอาหารของพารามีเซียม 

พารามีเซียมเป็นโพรโทซัวที่เคลื่อนที่ด้วยซีเลีย (Cilia) อาหารของพารามีเซียม คล้ายกับ อะมีบา พารามีเซียมจะรับอาหารจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่เซลล์ทางร่องปาก (Oral groove) โดยซีเลีย ที่อยู่บริเวณ ร่องปากช่วยโบกพัดอาหารเข้าไปจนถึงปาก (Mouth) ที่อยู่ปลายสุดของช่องนี้ อาหาร จะถูกน าเข้าเซลล์อยู่ในฟูดแวคิวโอล ขณะที่ฟูดแวคิวโอลเคลื่อนที่ไปจะมีการย่อยอาหารเกิดขึ้น โดยเอนไซม์จากไลโซโซม ทำให้ฟูดแวคิวโอลมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ สารอาหารที่ได้จากการย่อย ก็จะกระจาย และแพร่ไปได้ทั่วทุกส่วนของเซลล์ ส่วนที่เหลือจากการย่อยก็จะถูกขับออกจากเซลล์ ในรูปของกากอาหารต่อไป
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ paramecium digestionผลการค้นหารูปภาพสำหรับ paramecium





3. การย่อยอาหารของยูกลีนา 
ยูกลีนา (Euglena) ได้อาหารโดยวิธีการสังเคราะห์ด้วยแสง เนื่องจากมีโครมาโทฟอร์ (Chromatophore) ซึ่งเป็นรงควัตถุ จึงสังเคราะห์แสงได้ นอกจากนี้ยังดำรงชีพแบบแซโพรไฟต์ได้ ด้วย โดยการย่อยสารอาหารที่อยู่รอบ ๆ ตัวแล้วส่งเข้าร่องปาก ยูกลีนาจะรับอาหารจากสิ่งแวดล้อม ที่มีอินทรีย์สารละลายอยู่ในปริมาณสูงได้ 2 วิธี คือ 


1.
การดูดเอาอินทรีย์สารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าสู่ภายในเซลล์โดยตรง 2. ใช้ช่องบริเวณรอบ ๆ โคนแฟลกเจลลัมซึ่งที่ปลายบนสุดของช่องนี้จะมีช่องปาก สารอาหารจะผ่านเข้าสู่ช่องนี้ แล้วเข้าสู่ภายในเซลล์ 


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ euglena digestion



กุ้ง  เป็นสัตว์ขาปล้องจัดอยู่ในไฟลัมอาร์โทโพดา ทางเดินอาหารเป็นแบบช่องเปิด 2 ทาง(Two hole tube) แบ่งเป็น 3 ตอน คือ
                1. ทางเดินอาหารตอนหน้า(Stomodaeum) ใช้ปากซึ่งมีรยางค์รอบปาก 3 คู่ ช่วยในการกินเคี้ยวอาหารและมีต่อมน้ำลาย (Salivary gland) ทำหน้าที่สร้างน้ำย่อย มีหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ซึ่งกระเพาะอาหารของกุ้ง ทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ เป็นที่พักและบดอาหาร
                2. ทางเดินอาหารตอนกลาง(Mesenteron) เป็นส่วนที่อยู่ถัดจากกระเพาะอาหารและมีช่องรับน้ำย่อยทางเดินอาหารส่วนนี้จึงทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร
                3. ทางเดินอาหารตอนปลาย(Protodaeum) เป็นส่วนที่เรียกว่าลำไส้ เป็นท่อเล็กๆพาดไปทางด้านหลังของลำตัว และไปเปิดออกที่ส่วนท้ายของส่วนท้องเรียกว่า ทวารหนัก




                ทางเดินอาหารของกุ้งเรียงตามลำดับดังนี้




แมลง เป็นสัตว์ในกลุ่มขาปล้องจัดอยู่ในไฟลัมอาร์โทโพดา ทางเดินอาหารเป็นแบบช่องเปิด 2 ทาง (Two hole tube) ปากของแมลงมีการเปลี่ยนแปลงและแตกต่างออกไป ให้มีความเหมาะสมกับสภาพของอาหารที่แมลงแต่ละชนิดกิน แต่แมลงมีลักษณะพื้นฐานของทางเดินอาหารที่เหมือนกัน คือ ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะพักอาหารขนาดใหญ่ อยู่บริเวณทรวงอก และกระเพาะบดอาหาร(Gizzard)  ช่วยในการกรองและบดอาหาร มีต่อมสร้างน้ำย่อย (Digestive  gland) มีลักษณะคล้ายนิ้วมือ  8  อัน ยื่นออกมาจากทางเดินอาหารระหว่างกึ๋นและกระเพาะอาหาร


ทางเดินอาหารของแมลงเรียงตามลำดับได้ดังนี้
 




ปลา ปลาเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังจัดอยู่ใน
ไฟลัมคอร์ดาตา(Chordata) ปลามีทั้งปลาปากกลมซึ่งเป็นปลาที่ไม่มีขากรรไกรขอบของปากและลิ้นมีฟันใช้ขูดเนื้อและดูดกินเลือดสัตว์อื่น   ปลาฉลามมีปากอยู่ทางด้านล่างและมีฟันจำนวนมาก  ฉลามมีลำไส้สั้นและภายในมีลิ้นซึ่งมีลักษณะเหมือนบันไดเวียน (Spiral valve) ช่วยในการถ่วงเวลาไม่ให้อาหารเคลื่อนตัวไปเร็วและพวกปลากระดูกแข็งมีปากซึ่งภายในมีฟันรูปกรวยมีลิ้นขนาดเล็กยื่นออกมาจากปากทำหน้าที่รับสัมผัสพวกปลากินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาน้ำดอกไม้ ปลาพวกนี้จะมีลำไส้สั้น ส่วนปลากินพืช เช่น  ปลาทู ปลาสลิด จะมีลำไส้ยาว

ทางเดินอาหารของปลาเรียงตามลำดับต่อไปนี้

    ปาก   →  คอหอย  →     หลอดอาหาร →      กระเพาะอาหาร →     ลำไส้  →    ทวารหนัก




สัตว์บางชนิดปีก  ได้แก่ นก เป็ด ไก่  ซึ่งเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังจัดอยู่ในไฟลัมคอร์ดาตา(Chordata)  ทางเดินอาหารประกอบด้วยปากซึ่งไม่มีฟัน  ต่อมน้ำลายเจริญไม่ดี  แต่สร้างเมือกสำหรับคลุกเคล้าอาหารและหล่อลื่นได้  มีคอหอยสั้น  หลอดอาหารยาว  มีถุงพักอาหาร(Crop) ซึ่งทำหน้าที่เก็บอาหารสำรองไว้ย่อยภายหลังกระเพาะอาหารแบ่งอออกเป็น 2 ส่วน  คือ  กระเพาะตอนหน้าหรือกระเพาะย่อย (Proventriculus)  ทำหน้าที่สร้างน้ำย่อยและกระเพาะอาหารตอนท้ายหรือกระเพาะบด (Gizzard)  ต่อจากกระเพาะบดเป็นลำไส้เล็ก  ลำไส้ใหญ่  ส่วนท้ายเป็นโคลเอกา (Cloaca)  ที่มีท่อไตและท่อของระบบสืบพันธุ์มาเปิดเข้าด้วยกัน  และทวารหนักซึ่งเป็นส่วนท้ายสุด

ทางเดินอาหารของสัตว์ปีกเรียงตามลำดับต่อไปนี้
ไฟลัมคอร์ดาตา(Chordata) ปลามีทั้งปลาปากกลมซึ่งเป็นปลาที่ไม่มีขากรรไกรขอบของปากและลิ้นมีฟันใช้ขูดเนื้อและดูดกินเลือดสัตว์อื่น   ปลาฉลามมีปากอยู่ทางด้านล่างและมีฟันจำนวนมาก  ฉลามมีลำไส้สั้นและภายในมีลิ้นซึ่งมีลักษณะเหมือนบันไดเวียน


สัตว์บางชนิดกินพืช  ได้แก่ วัว ควาย จะมีโครงสร้างของทางเดินอาหารแตกต่างจากคนและสัตว์กินเนื้ออื่นๆ อยู่ 2 ประการ คือ
       1.  การมีทางเดินอาหารที่ยาวมากๆ ยาวถึง 40 เมตร  ทำให้ระยะเวลาในการย่อยและการดูดซึมสารอาหารนานยิ่งขึ้น  กระเพาะอาหารของวัวและควายแบ่งออกเป็น 4 ส่วน มีชื่อและลักษณะเฉพาะ  ได้แก่    
1.1  กระเพาะผ้าขี้ริ้วหรือรูเมน (Rumen)  เป็นกระเพาะอาหารที่มีจุลินทรีย์ พวก
แบคทีเรียและ  โพรโทซัวจำนวนมากจุลินทรีย์พวกนี้สร้างน้ำย่อยเซลลูเลสย่อยสลายเซลลูโลสจากพืชที่กินเข้าไปและสามารถสำรอกอาหารออกมาเคี้ยวเอื้องเป็นครั้งคราวเพื่อบดเส้นใยให้ละเอียดจึงเรียกสัตว์พวกนี้ว่าสัตว์เคี้ยวเอื้อง
1.2กระเพาะรังผึ้งหรือเรติคิวลัม (Reticulum)  ทำหน้าที่ย่อยนม เมื่อโค กระบือยัง
เล็กอยู่  และมีจุลินทรีย์เช่นเดียวกับกระเพาะอาหารส่วนรูเมน
1.3กระเพาะสามสิบกลีบหรือโอมาซัม (Omasum)  ทำหน้าที่ผสมและบดอาหาร
นอกจากนี้ยังดูดซึมและซับน้ำจากรูเมนอีกด้วย
         1.4     กระเพาะจริงหรืออะโบมาซัม (Abomasum)  มีการย่อยอาหารและจุลินทรีย์ไป
พร้อมๆกัน  แล้วจึงส่งต่อไปยังลำไส้เล็กเพื่อย่อยให้สมบูรณ์
เมื่ออาหารผ่านเข้าสู่ลำไส้เล็กตอนต้น  จะมีการย่อยโปรตีน  ไขมันและแป้งจากน้ำย่อยจากตับอ่อนและน้ำดีจากตับ  จากนั้นก็ดูดซึมเข้าสู่ระบบหมุนเวียนต่อไป
 (Spiral valve) ช่วยในการถ่วงเวลาไม่ให้อาหารเคลื่อนตัวไปเร็วและพวกปลากระดูกแข็งมีปากซึ่งภายในมีฟันรูปกรวยมีลิ้นขนาดเล็กยื่นออกมาจากปากทำหน้าที่รับสัมผัสพวกปลากินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาน้ำดอกไม้ ปลาพวกนี้จะมีลำไส้สั้น ส่วนปลากินพืช เช่น  ปลาทู ปลาสลิด จะมีลำไส้ยาว

ทางเดินอาหารของปลาเรียงตามลำดับต่อไปนี้

    ปาก   →  คอหอย  →     หลอดอาหาร →      กระเพาะอาหาร →     ลำไส้  →    ทวารหนัก






ระบบการย่อยอาหารหรือระบบทางเดินอาหารของคน

ระบบนี้รวมอวัยวะต่างๆ ที่เกี่ยววกับการรับอาหาร การย่อยและการดูดซึมอาหาร และการขับถ่ายกากอาหารที่ไม่ย่อยยาวตั้งแต่ปากถึงทวารหนักประมาณ ๙ เมตร อวัยวะต่างๆ เรียงตามลำดับคือ ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก นอกจากนั้นยังรวมต่อมต่างๆ ซึ่งเปิดเข้าสู่ปาก ได้แก่ ต่อมน้ำลาย และเปิดเข้าสู่ลำไส้เล็ก ได้แก่ ตับและตับอ่อน ต่อมต่างๆ เหล่านี้ช่วยในการย่อยอาหาร ส่วนปากและคอหอย ยังใช้สำหรับการหายใจอีกด้วย


ปาก 

ลักษณะเฉพาะพิเศษของปากของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็คือ ริมฝีปากและแก้ม เคลื่อนไหวได้ เพื่อเป็นปากที่ดูดได้ ปากเป็นส่วนต้นของระบบการย่อยอาหาร ซึ่งเกี่ยวข้องกับการย่อย โดยการเคี้ยวให้อาหารมีขนาดเล็กลง การรับรู้รส และการหลั่งน้ำลาย นอกจากนั้น ในคนยังใช้ในการพูดคุยด้วย



ปาก แสดงให้เห็นฟัน เหงือก และช่องปาก


ริมฝีปาก 
ภาษาชาวบ้านหมายถึงขอบปากสีแดงเท่านั้นแต่ทางกายวิภาคศาสตร์หมายถึงบริเวณตั้งแต่ผิวหนังถึงเยื่อเมือกด้านในที่ต่อกับเหงือก และปากสีแดงเป็นส่วนหนึ่งของริมฝีปากเท่านั้น ภายในริมฝีปากประกอบด้วยกล้ามเนื้อลาย ด้านนอกเป็นผิวหนัง ด้านในเป็นเยื่อเมือก และขอบปากสีแดง ริมฝีปากจึงเคลื่อนไหวได้

ศีรษะผ่าซีก แสดงให้เห็นอวัยวะต่างๆ ภายใน



แก้ม 

มีลักษณะเช่นเดียวกับริมฝีปาก ประกอบด้วยกล้ามเนื้อลาย ด้านนอกเป็นผิวหนัง ด้านในเป็นเยื่อเมือกบุจนถึงบริเวณเหงือก 

การเคลื่อนไหวของริมฝีปากและแก้ม จำเป็นสำหรับการเคี้ยว เพื่อบังคับให้อาหารในกระพุ้งแก้มไปอยู่ระหว่างฟัน











ฟัน 

ในผู้ใหญ่มีฟันถาวร ๓๒ ซี่ ฟันบนข้างละ ๘ ซี่ และฟันล่างข้างละ ๘ ซี่ แต่ละข้างมีฟันตัดข้างละ ๒ ซี่ ฟันเขี้ยว ๑ ซี่ ฟันหน้ากราม ๒ ซี่ และฟันกราม ๓ ซี่ เรียงตามลำดับจากหน้าไปหลัง

ในทารก มีฟันน้ำนม ๒๐ ซี่ ฟันบนข้างละ ๕ ซี่ ฟันล่างข้างละ ๕ ซี่ แต่ละข้างมีฟันตัด ๒ ซี่ ฟันเขี้ยว ๑ ซี่ และฟันกราม ๒ ซี่ 

ในปากของเด็กแรกเกิดไม่มีฟัน เมื่ออายุ ๖ เดือน จึงจะมีฟันน้ำนมซี่แรกงอกขึ้นมาให้เห็น และปลายปีที่สอง ฟันน้ำนมจึงขึ้นครบทุกซี่ เมื่ออายุ ๖ ปี มีฟันถาวรอันแรกปรากฎขึ้นคือ ฟันกรามซี่ที่ ๑ แล้วต่อไปฟันน้ำนมทั้ง ๑๐ ซี่จะค่อยๆ หลุดไป และมีฟันถาวรงอกขึ้นมาแทนที่ทีละซี่ ฟันของขากรรไกรล่างงอกก่อนฟันของขากรรไกรบน ฟันถาวรทั้งหมดจะงอกหมดในปลายปีที่ ๑๒ หรือ ๑๓ ยกเว้นฟันกรามซี่สุดท้าย ซึ่งมักจะงอกขึ้นระหว่างอายุ ๑๘-๒๔ ปี บางทีจึงเรียกว่า ฟันฉลาด 

ช่องปากแท้ 

มีขอบเขตดังนี้ ด้านบน เป็นเพดานปาก ซึ่งประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ เพดานแข็ง อยู่ที่ส่วนหน้า ๒/๓ โดยมีกระดูกเป็นแกนภายใน เพดานอ่อนอยู่ที่ส่วนหลัง ๑/๓ โดยมีพังผืดขาว และกล้ามเนื้อลายอยู่ภายใน ตรงปลายสุดของเพดานอ่อนเป็นติ่ง เรียกว่า ลิ้นไก่ (uvula) จากลิ้นไก่มีรอยนูนของเยื่อเมือก มายังขอบข้างของลิ้น รอยนูนนี้ถือว่า เป็นแนวแบ่งระหว่างช่องปากแท้ กับคอหอย ด้านล่างของช่องปากเป็นลิ้น และใต้ลิ้นเป็นกล้ามเนื้อที่ประกอบเป็นพื้นของปาก 

ลิ้น 

ประกอบด้วยกล้ามเนื้อลายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีเยื่อเมือกคลุมด้านบน และด้านข้างของกล้ามเนื้อ เยื่อเมือกที่คลุมด้านบนของลิ้นไม่เรียบ ยื่นขึ้นมา เป็นปุ่มแหลม ปุ่มรูปดอกเห็ดแต่ละปุ่ม มีร่องซึ่งมีเซลล์รับรสอยู่โดยรอบ ลิ้นมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเคี้ยว การกลืน และการรับรส ในคนยังใช้พูดด้วย

ต่อมน้ำลาย 

มีต่อมใหญ่ ๓ ต่อม คือ

๑. ต่อมน้ำลายพาโรติด (parotid) เป็นต่อมน้ำลายที่ใหญ่ที่สุด อยู่ ที่ด้านข้างของใบหน้าระหว่างหูกับคางมีท่อไปเปิดสู่กระพุ้งแก้ม 

๒. ต่อมน้ำลายใต้คาง ขนาดเล็กกว่า อยู่ใต้กระดูกคางทั้งสองข้าง มีท่อไปเปิดสู่ช่องปากแท้ตรงระหว่างใต้ปลายลิ้นกับพื้นปาก 

๓. ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น ขนาดเล็กที่สุด อยู่ใต้เยื่อเมือกของปาก ที่สองข้างลิ้น มีท่อเล็กๆ หลายท่อเปิดสู่ช่องปากแท้

คอหอย 

อยู่หน้ากระดูกสันหลังส่วนคนอันที่ ๑ ถึง ๖ นับตั้งแต่ฐานกะโหลกศีรษะ ถึงด้านหน้าของกระดูกสันหลังส่วนคนอันที่ ๖ โป่ง คล้ายรูปกรวยยาว ๑๓ เซนติเมตร ส่วนบนกว้าง ๓.๕ เซนติเมตร ส่วนล่างแคบ ๑.๕ เซนติเมตร ซึ่งไปต่อกับหลอดอาหาร

ผนังประกอบด้วยกล้ามเนื้อลาย ด้านในบุด้วยเยื่อเมือกทางข้างหน้า ติดต่อกับโพรงจมูก ช่องปาก และกล่องเสียงจากบนลงล่างตามลำดับ จึงแบ่ง ได้เป็น ๓ ส่วน

๑. คอหอยส่วนจมูก อยู่หลังโพรงจมูก เป็นทางผ่านของลมหายใจ

๒. คอหอยส่วนปาก อยู่หลังช่องปาก ต่ำกว่าเพดานอ่อน ที่ด้านข้างของคอหอยส่วนนี้ มีต่อมทอนซิล (tonsil) อยู่ ซึ่งมักได้รับเชื้อจุลินทรีย์ จึงอักเสบได้ง่าย คอหอยส่วนนี้ เป็นทางผ่านทั้งอากาศหายใจ และทางผ่านของอาหาร

๓. คอหอยส่วนกล่องเสียง อยู่รอบๆ และหลังกล่องเสียงทั้งหมด เป็นส่วนที่ยาวที่สุด และแคบลงเรื่อยๆ จนต่อกับหลอดอาหาร เป็นทางผ่านของอาหารสู่หลอดอาหาร และเป็นทางผ่านของลมหายใจสู่กล่องเสียง

หลอดอาหาร 

หลอดอาหารยาว ๒๓-๒๕ เซนติเมตร ต่อจากคอหอยผ่านคอ ทรวง อก แล้วทะลุบังลม ไปเปิดสู่กระเพาะอาหารทอดอยู่ในแนวกลางของลำตัว อยู่ด้านหน้ากระดูกสันหลัง

ทางเดินอาหารจากกล่องเสียงถึงหลอดลมย่อยสู่ปอดและจากหลอดอาหารถึงดูโอดินัมทางเดินอาหารจากกล่องเสียงถึงหลอดลม ย่อยสู่ปอด และจากหลอดอาหารถึงดูโอดินัม

ผนังของหลอดอาหารส่วนใหญ่เป็นกล้ามเนื้อ ส่วนบน ๑ ใน ๓ เป็นกล้ามเนื้อลายอย่างเดียว ส่วนกลาง ๑ ใน ๓ เป็นกล้ามเนื้อลายปน กับกล้ามเนื้อเรียบ และส่วนล่างอีก ๑ ใน ๓ เป็นกล้ามเนื้อเรียบอย่างเดียว

กระเพาะอาหาร 

อยู่ระหว่างปลายของหลอดอาหารกับส่วนต้นของลำไส้เล็ก เป็นที่รับอาหาร และหลั่งน้ำย่อยอาหาร ซึ่งจะมีปฎิกิริยากับอาหารทำให้อาหารเป็นของเหลวเหนียวๆ แล้วส่งของเหลวเหนียวๆ นี้ไปยังลำไส้เล็ก
อวัยวะต่าง ๆ ภายในช่องท้อง
อวัยวะต่าง ๆ ภายในช่องท้อง
กระเพาะอาหารอยู่ในส่วนบนของช่องท้อง เหนือระดับสะดือ ปลายบนกว้าง ปลายล่างเรียวแคบทอดลงล่างไปทางขวา ซึ่งปลายสุดมีกล้ามเนื้อหูรูดหนา รูปร่าง และตำแหน่งของกระเพาะอาหารแตกต่างกันในบุคคลต่างๆ เช่น คนอ้วน คนผอม แม้ในคนเดียวกันก็ยังแตกต่างกันในภาวะต่างๆ เช่น มีอาหารในกระเพาะอาหารมากหรือน้อย ขนาดและตำแหน่งของอวัยวะใกล้เคียง แม้ในท่ายืน และท่านอนก็ทำให้รูปร่าง และตำแหน่งของกระเพาะอาหารเปลี่ยนแปลงไป

เยื่อเมือกของกระเพาะอาหารมีต่อมสร้างกรดเกลืออ่อนๆ และน้ำ ย่อยอาหารประเภทโปรตีน
ทางเดินอาหารภายในช่องท้อง
ทางเดินอาหารภายในช่องท้อง
ลำไส้เล็ก 

แบ่งได้เป็น ๓ ส่วน คือ ดูโอดีนัม (duodenum) เจจูนัม (jejunum) และอิเลอัม (ileum)

ดูโอดีนัม ยาวประมาณ ๒๒.๕ เซนติเมตร เป็นส่วน ต้น และกว้างที่สุดของลำไส้เล็ก กว้าง ๔-๕ เซนติเมตร ยกเว้น ๒.๕ เซนติเมตรแรก ดูโอดีนัมอยู่ชิดกับผนังหลังของ ช่องท้อง และอยู่นอกเยื่อบุช่องท้อง ดูโอดีนัมประกอบเป็น รูปโค้งอยู่หน้ากระดูกสันหลังส่วนเอวอันที่ ๑, ๒ และ ๓

ส่วนแรกต่อจากกระเพาะอาหารยาว ๒.๕ เซนติเมตร ทอดไปทางหลัง ส่วนที่ ๒ ทอดลงล่าง ทางขอบขวาของกระดูก สันหลังส่วนเอวอันที่ ๑, ๒, ๓ ส่วนที่ ๓ ทอดข้ามกระดูกสันหลัง ส่วนเอวอันที่ ๓ ไปทางซ้าย ต่อไปส่วนที่ ๔ ทอดขึ้นบนไปต่อ กับลำไส้ส่วนเจจูนัม มีท่อน้ำดีจากตับ และท่อของตับอ่อนมา เปิดสู่ดูโอดีนัมส่วนที่ ๒

เจจูนัมและอิเลอัม ส่วนต้น ๒/๓ เรียก เจจูนัม และ ส่วนปลาย ๑/๓ เรียกว่า อิเลอัม ความยาวทั้งหมดประมาณ ๖ เมตร แต่อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคลตั้งแต่ ๔.๕ ถึง ๙ เมตร เจจูนัมกว้าง ๓ เซนติเมตร และค่อยๆ แคบลงเป็น ๒ เซนติเมตร ที่อิเลอัม ทั้งสองส่วนนี้มีเยื่อบุช่องท้อง หุ้มโดยรอบ และยึดกับผนังหลังของช่องท้อง จึงขดไปขดมา และเคลื่อนที่ได้โดยสะดวกในช่องท้อง อิเลอัมไปต่อกับลำไส้ ใหญ่ทางขวาของช่องท้องส่วนล่างลำไส้ใหญ่ 

ยาวประมาณ ๑.๕-๑.๘ เมตร ประกอบด้วยซีคัม (caecum) ไส้ติ่ง (appendix) และโคลอน (colon)

ซีคัม เป็นส่วนแรกย้อยลงมาเป็นถุงก้นตันยาว ๖ เซนติเมตร อยู่ที่ส่วนล่างของท้องข้างขวา และอยู่ต่ำกว่าระดับรอยต่อระหว่างลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่

ไส้ติ่ง เป็นส่วนที่เล็กที่สุดของลำไส้ใหญ่ยาวประมาณ ๙ เซนติเมตร กว้าง ๖ มิลลิเมตร ติดกับด้านหลัง และใกล้ส่วนกลางของซีคัม ไส้ติ่งในชายยาวกว่าหญิงเล็กน้อย

โคลอน ต่อกับซีคัมที่ระดับรอยต่อระหว่างลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ ส่วนทอดขึ้นยาวประมาณ ๑๒-๒๐ เซนติเมตร ทอดขึ้นบนชิดกับผนังหลังข้างขวาของช่องท้องจนถึงด้านล่างของตับ ส่วนทอดขวางยาว ๕-๑๐ เซนติเมตร จะโค้งมาทางด้านหน้าไปทางซ้าย ไปจนถึงด้านล่างของม้าม และส่วนทอดลงยาว ๒๕ เซนติเมตร ทอดลงล่างชิดกับผนังหลังข้างซ้ายของท้อง จนถึงขอบของช่องเชิงกราน จากนี้ก็เรียกว่า ส่วนเชิงกราน ยาว ๔๐ เซนติเมตร ทอดไปสู่แนวกลางไปต่อกับทวารหนักที่ระดับกระดูกสันหลังส่วนเชิงกรานอันที่ ๓
ทางเดินของลำไส้ใหญ่และอวัยวะภายในช่องท้องภายหลังการเอา เจจูนัม และอิเลอัมออกแล้ว
ทางเดินของลำไส้ใหญ่และอวัยวะภายในช่องท้องภายหลังการเอา เจจูนัม และอิเลอัมออกแล้ว
ลำไส้ตรงต่อจากโคลอนส่วนเชิงกรานในแนวกลางลำตัว ทอดลงล่างตามความโค้งของกระดูกสันหลังส่วนเชิงกราน และกระดูกก้นกบ ไปหมดที่ ๓.๕ เซนติเมตร ต่ำกว่าปลายกระดูกก้นกบ

ช่องทวารหนักเป็นช่องแคบๆ ยาว ๒.๕-๓.๕ เซนติเมตร ต่อจากลำไส้ตรงทอดเฉียงลงล่างไปทางหลังไปหมดที่รูทวารหนัก ช่องทวารหนักมีหูรูดซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ และหูรูด ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อลาย ซึ่งทำหน้าที่ปิดกักกากอาหารไว้ เมื่อต้องการขับถ่ายกากอาหารหูรูดเหล่านี้ก็จะหย่อนยอมให้กากอาหารผ่านออกไปได้

ตับ

เป็นต่อมสำหรับการย่อยอาหาร เนื่องจากหลั่งน้ำดีไปสู่ดูโอดีนัม เพื่อย่อยอาหารประเภทไขมัน

ตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุด และหนักที่สุด อยู่ในส่วนบนของช่องท้องชิดกับกะบังลม และกระดูกซี่โครง ส่วนใหญ่อยู่ทางขวา ส่วนน้อยอยู่ตรงกลาง และยื่นไปทางซ้ายเล็กน้อย ตับของทารกในครรภ์หนักประมาณ ๑ ใน ๘ ของน้ำหนักตัว ในผู้ใหญ่ตับหนักประมาณ ๑ ใน ๓๖ ของน้ำหนักตัว
ด้านหน้าของตับ
ด้านหน้าของตับ
ในขณะมีชีวิต ตับมีสีน้ำตาลแกมแดง นุ่มและฉีกขาดง่าย ตับมีรูปร่างคล้ายลิ่มขนาดใหญ่ แต่ด้านบน ด้านหน้า และด้านหลัง กลมมน ส่วนใหญ่ของตับอยู่ทางขวา วัดจากหน้าไปหลังยาว ๑๒.๕ เซนติเมตร และจะลดเหลือครึ่งเดียวในกลางตัว
ด้านหลังของตับ
ด้านหลังของตับ
เลือดจากกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ ซึ่งนำอาหารที่ย่อยแล้วมาสู่ตับ โดยทางหลอดเลือดดำปอร์ตัล และมีหลอดเลือดแดงซึ่งนำเลือดที่มีออกซิเจนมาสู่ตับด้วย หลอดเลือดดำเและแดงทั้งสองนี้แตกแขนงภายในตับจนถึงระดับ เลือดฝอย จากหลอดเลือดฝอยเหล่านี้รวบรวมเป็นหลอดเลือดดำ ออกจากตับไปสู่หัวใจได้

เลือดดำนำอาหารที่ย่อยแล้วสู่ตับ ตับมีหน้าที่ทำลายพิษ บางอย่างที่มากับอาหาร เปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสเป็นไกลโคเจน และเปลี่ยนไกลโคเจนเป็นกลูโคสสู่กระแสโลหิตได้ดีด้วย

ตับยังมีหน้าที่สร้างและหลั่งน้ำดี ออกไปทางท่อตับ (hepatic duct) ตลอดเวลา แต่ปกติน้ำดีจะเข้าสู่ดูโอดีนัมใน ขณะที่มีการย่อยอาหารเท่านั้น น้ำดีจึงถูกนำไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี ซึ่งมีหน้าที่ดูดน้ำจากน้ำดีไปบ้างก่อน และมีการหลั่งน้ำเมือก ออกมาผสมกับน้ำดี จึงทำให้น้ำดีข้นขึ้น

ถุงน้ำดีอยู่ชิดกับด้านล่างของตับ ยาว ๗.๕ เซนติเมตร และกว้าง ๒.๕-๓ เซนติเมตร จุได้ ๓๐-๔๕ มิลลิลิตร รูปร่างคล้ายผลชมพู่ ปลายกว้าง แล้วเรียวเล็กลงเป็นท่อน้ำดี ท่อจากถุงน้ำดีไปต่อกับท่อตับเป็นท่อน้ำดีทอดลงล่างไปเปิดเข้าดูโอดีนัมส่วนที่สอง ท่อน้ำดีมีหูรูดที่ปลายของมัน และจะเปิด เมื่อมีการย่อยอาหารเท่านั้น

ตับอ่อนเป็นต่อมสำหรับการย่อยเช่นเดียวกับตับ มีหน้าที่หลั่งน้ำย่อยไปสู่ดูโอดีนัม โดยทางท่อตับอ่อนและยังมีกลุ่มเซลล์ หลั่งอินซูลิน (insulin) เข้าสู่กระแสโลหิตโดยตรง จึงเป็นต่อมไร้ท่อด้วย

คนขณะมีชีวิต มีตับอ่อนสีเหลือง นุ่ม รูปร่างคล้ายตัวลูกน้ำ ยาวประมาณ ๑๒.๕-๑๕ เซนติเมตร ส่วนหัวอยู่ในโค้งของดูโอดีนัม ส่วนตัวทอดขวางไปทางซ้ายชิดกับผนังหลังของท้อง และส่วนหางไปชิดกับม้าม






แบบฝึกหัดหลังเรียน :
https://docs.google.com/forms/d/1mULa6ZsswLG74o9bm1Mz5eJGIvRqZJBvKt3zJnztTwA/edit?ts=5d668bda


ขอขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษา

คุณครูธีระวัฒน์  ปานทอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

มิวเทชัน (mutation)

การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต